วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระแก้วแดง

พระแก้วแดงเป็นรูปลักษณ์แทนบารมีรวมพระศรีฯ ทั้งหมดทั้งมวล
และเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมโยงบารมีรวมของโพธิญาณทุกท่าน
ที่ปรารถนาสร้างบารมีและฝากกระแสไว้กับพระศรีฯ

ฉะนั้น เวลาเราท่านน้อมบารมีองค์พระแก้วแดงเข้าตัวเรา
ก็จะได้รับบารมีรวมพระศรีฯ บารมีรวมเหล่าโพธิญาณทุกๆองค์ กำลังจึงมีมาก
แต่ไม่ใช่ว่า ท่านที่จับภาพหลวงปู่ดู่ หรือหลวงปู่ทวด
ก็ใช่ว่ากำลังท่านจะน้อยนะ....กำลังท่านมีเยอะ มีมากมาย มหาศาล ....


พระพุทธเจ้า มี 3 แบบ
ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์
ศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 6 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์
วิริยะธิกะ บำเพ็ญบารมี 12 อสงไขย์ กับอีกแสนมหากัปป์
พระศรีฯ ท่านบำเพ็ญบารมีแบบวิริยะธิกะก็จริง
หากแต่ว่าท่านบำเพ็ญบารมีเกินนั้นมากโข
...ท่านบำเพ็ญบารมี 16 อสงไขย เยอะจริงๆ


พระศรีฯ ท่านสร้างท่านทำบารมีพิเศษ
กำลังท่านจึงเยอะช่วยเหลือผู้ที่มีกระแสเกี่ยวข้องเนื่องอยู่กับท่านได้เยอะ
เราที่เป็นลูกศิษย์(ในชาตินี้) จึงพลอยได้รับอานิสงส์
ได้มารับรู้เรื่องราวของท่าน ได้เรียนรู้สรรพวิชาของท่าน
(วิชาภูตพระพุทธเจ้า ,การแผ่บุญ ปรับภพภูมิ ,การครอบวิมาน อื่นๆ อีกมากมาย
ที่เปิดเผยได้ และที่ไม่สามารถเปิดเผย เพราะเป็นปัจจัตตังเป็นความรู้พิเศษเฉพาะตัว ฯลฯ)


ไม่ใช่เหตุบังเอิญนะ ที่ เหล่าเราท่านได้มารับรู้เรื่องราวของพระศรี
เรื่องราวของหลวงปู่ ไม่ใช่เหตุบังเอิญเลย
....นั้นเป็นเพราะ เราท่านต่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันมากับหลวงปู่
ไม่ภพใดก็ภพหนึ่ง ในอดีตกาล ที่ผ่านมา
นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ ชาตินี้ ภพนี้ เราท่านได้มาพบได้มาเรียนรู้วิชา
ศึกษาข้อธรรมแนวทางการปฏิบัติ
ได้มาฝากกระแสต่อเนื่อง กับหลวงปู่...นั้นเพราะคำๆเดียว คือ


"กระแสเดิม"

พระแก้วแดงกับโพธิญาณ
ถึงโพธิญาณทุกท่าน...
-ทั้งท่านที่รู้ตัวเองว่ามีปรารถนามีความต้องการที่จะช่วยสัพสัตว์
ช่วยเหลือสัตว์โลก ขนเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้หลุดออกจากวัฏสงสาร 3 แดนโลกธาตุนี้
เข้าสู่กระแสพระนิพพานเป็นที่สุด
เค้าเหล่านี้ต้องสร้างบารมีมากมายมหาศาลเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า


-ทั้งท่านที่ยังไม่รู้ตัวว่าเรา ปรารถนาอะไร
...ยังไม่รู้ว่าตนเองเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน
...แต่ในความเป็นจริงนั้น
ตนเองได้สร้างได้ทำบารมีมามากหลายยุค หลายภพ หลายชาติแล้ว
เพียงแต่ชาตินี้ ยังระลึกไม่ได้เท่านั้นเองว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า


-และท่านที่เพิ่งตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล เพิ่งเริ่มสร้างบารมีในชาตินี้

พระแก้วแดง
ใช่ว่าจะมีพลังงาน ,มีพุทธคุณหรือมีกำลังมากเท่านั้น
...พระแก้วแดงยังมีนัยสำคัญอื่นอีก...


สำหรับพุทธภูมิ
พระแก้วแดงเป็นเสมือนศูนย์กลาง
พลังงานที่บรรดาเหล่าโพธิญานได้ฝากกระแสฝากพลังงานเอาไว้
สำหรับเหล่าบรรดาพุทธภูมิทั้งหลายได้มาน้อมนำบารมีนี้ไปสร้างบารมีต่อยอด...

เช่น..

กรณีศึกษาที่ ๑ ไม่ได้รู้จักพระแก้วแดง..
-หมวดอรรถ (ขอยืมชื่อทีนะน้องพี่) เกิดมาชาตินี้
พึงระลึกได้ว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า
จึงได้ขนขวายสร้างบารมีอย่างมากมาย
ตั้งแต่วัยรุ่น จนเข้าสู่วัยหนุ่ม กระทั่งวัยชรา
เค้าเพียรสร้างบารมีโดยอาศัยกำลังที่ตนเองมีในชาตินี้
เค้าก็จะสร้างบารมีได้แบบลุ่มๆ ดอนๆ
...แถมพ่วงด้วยเจ้ากรรมนายเวรที่ตามมาทวงสัญญาเป็นพักๆ
ทวงสัญญาเป็นพักๆของพุทธภูมินี่..ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ มากโขที่เดียว
โดนเจ้ากรรมนายเวรเล่นแต่ละที แทบปางตาย
แล้วไม่ใช่แทบปางตายแค่ครั้ง หรือสองครั้ง
.......ในช่วงวาระชีวิตหนึ่งที่เกิดมาของหมวดอรรถ
จะเจอสภาวะแทบปางตายบ่อยมาก นี่แหละ พุทธภูมิ ลำบากใช่เล่น

เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด สร้างบารมีอยู่อย่างนี้ เป็นอสงไขย์ ป็นกัปป์ ...

กรณีศึกษาที่ ๒ ได้รู้จักพระแก้วแดง
..แล้วรู้วิธีรวมบารมีน้อมนำมาใช้

-หมวดอรรถ(อีกรอบนะน้องพี่)
เกิดมาชาตินี้ รู้ว่าตนเองปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า
จึงเร่งสร้างบารมี ...สืบเนื่องด้วยบารมีเดิม
ที่เคยเกี่ยวข้องเคยฝากกระแสกับหลวงปู่ ,พระศรีฯ มาเก่าก่อน
จึงได้มารับรู้เรื่องราวของหลวงปู่ ได้เรียนรู้วิชาที่หลวงปู่สอน
ได้รู้ว่าพระแก้วแดงนั้นเป็นรูปลักษณ์ที่รวมบารมีของพระศรีฯและบารมีรวม
เหล่าโพธิญาณทุกท่านที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่
(ซึ่งทุกองค์ที่จะลงมาจุติใน โลกเพื่อสร้างบารมี
ต้องเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่โดยปริยาย
...เพราะท่านเป็นโพธิญาณองค์ใหญ่
เป็นโพธิญาณที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
...นั้นแหละบารมีรวม รวมหมดจริงๆ)


หมวดอรรถ จึงสามารถน้อมนำบารมีของพระแก้วแดง
บารมีรวมโพธิญาณเพื่อรวมบารมีเดิมของตน เองตั้งแต่อดีตปัจจุบัน
มาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างบารมีในชาตินี้ได้

อาจจะมีคำถามว่า...ดีอย่างไร..? ก็สร้างบารมีเหมือนกัน ...!!
ขอตอบว่า...ต่างกันมาก...

การสร้างบารมีโดยสามารถรวมบารมีเดิมมาช่วยสร้างนั้น
จะทำให้การสร้างบารมีเป็นไปโดยง่าย
ไม่มีอุปสรรคใดใด มาขวางการสร้างบารมี
ด้วยกำลังของพระแก้วแดง บุพกรรมที่หมวดอรรถต้องเสวย
ต้องชดใช้ในชาตินี้เนื่องเพราะถึงวาระ นั้น
...ก็ยังต้องชดใช้อยู่ดีนั้นแหละ
...อ้าว แล้วมันจะดียังไง
....ก็ดีตรงที่ แทนที่หมวดอรรถจะต้องรับกรรมไปเต็ม 100 ส่วน
ก็จะเหลือซัก 40-50 ส่วนเท่านั้นที่ต้องเสวยกรรม
ด้วยกำลังของพระแก้วแดง ช่วยลดทอนบุพกรรม
ด้วยกำลังบุญของพระศรีฯ ที่แผ่ไปให้เจ้ากรรมนายเวร
หากเจ้ากรรมนายเวรสามารถรับบุญนั้นได้
เค้าเหล่านั้นก็จะปรับเปลี่ยนสภาวะ ไปสู่ สุขคติภูมิทันที
ที่หมวดอรรถทำนั้นถือเป็นการช่วยตนเองและช่วยเจ้ากรรมนายเวรไปในตัว
นี่แหละ กำลังของพระศรีฯ กำลังรวมของเหล่าบรรดาโพธิญาณ
และกำลังรวมของหมวดอรรถ ทั้งหมดทั้งมวลนี้รวมอยู่ในรูปลักษณ์ของ


" พระแก้วแดง "

เช่นนี้ ...หมวดอรรถ จึงสามารถสร้างบารมีได้มาก
สร้างบารมีได้โดยง่ายกว่า กรณีที่ ๑ มากมายนัก...


วลีอมตะที่กล่าวว่า
"โพธิญาณต้องเรียนกับโพธิญาณเท่านั้น"
เป็นจริงแน่แท้ หากโพธิญาณท่านนั้นต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องราวสืบมาของโพธิญาณ
ต้องการที่จะเรียนการสร้างบารมีของโพธิญาณ
ต้องการทราบประเพณีของเหล่าพุทธภูมิ ฯลฯ


เรื่องเหล่านี้ นับเป็นเรื่องใบไม้นอกกำมือ ไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
เป็น
ความรู้และเรื่องราวที่ต้องแสวงหาของเหล่าพุทธภูมิ
...จึงเป็นที่มาของเรื่องการ ต่อกระแสของพุทธภูมิ
เนื่องด้วยพุทธภูมิหรือเหล่าบรรดาโพธิญาณ
...แม้นว่าบารมีของท่านเหล่านั้นจะเต็มแล้วก็ตามที
แต่จริตเดิม นั้นยังมีอยู่
(ความเมมตา ความปรารถนาต้องการให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์)
ท่านเหล่านั้นจึงมิได้ นิ่งเฉย เสวยสุขอยู่บนวิมานของแต่ละท่านแต่อย่างใด...
หากแต่ ทุกท่านต่างก็ลงมาจุติลงมาเกิดเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก
ตามวาระของแต่ละท่าน
(ท่านจะเล็งรู้เองว่า เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะลงมา)
...เมื่อท่านเหล่านั้นลงมา ก็ เหมือนกับเริ่มใหม่ เกิดใหม่ มาเรียนรู้ใหม่
...การสร้างบารมีนั้น
ท่านก็จะอาศัยเรียนกับโพธิญาณรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่มาจุติก่อน
(โพธิญาณจะ ต้องเรียนกับโพธิญาณ)
นี่แหละมาเรียนรู้ไว้ มาต่อกระแสสืบต่อๆกันไป
ไม่มีที่สุดตราบใดยังมีผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอยู่...


ณ ถ้ำใหญ่ .....หลังจากสวดมนต์เสร็จ

หลวงตาม้าและคณะศิษย์
เสวนาพาทีสอบถามเรื่องการปฏิบัติธรรม ....


ขณะนั้นหลวงตาได้พูดขึ้น
โดยมองไปที่ศิษย์คนหนึ่งว่า...


"เอ๊า ไหนลองกำหนดไปดูพระแก้วแดงซิ องค์จริงเป็นยังไง
อยู่ที่ไหน ...? "


ศิษย์คนนี้เพิ่งเริ่มฝึกภูติพระพุทธเจ้า
หรือวิชาที่พวกเรารู้จักและเรียกกันในชื่อว่า "วิชาเปิดโลก"

เค้าตอบรับคำหลวงตา ...นั่งในอริยาบทสบายๆ
แล้วจัดแจงถอดประคำพระที่เพิ่งได้รับจากหลวงตาเมื่อตอนกลางวัน
มากำไว้... มือขวากำพระ วางมือที่กำพระไว้บนมือซ้าย หลับตาพริ้ม....
ทำใจให้สบายที่สุด จับภาพหลวงปู่ยืนยิ้มอยู่
แล้วบอกกับหลวงปู่ในใจว่า หลวงปู่ครับ
หลวงตาถามผมว่าพระแก้วแดงเป็นยังไง อยู่ที่ไหน
...หลวงปู่พาลูกไปดูได้ไหมครับ ...


ฉับพลันทันใดนั้น ...หลวงปู่ที่ยืนยิ้มอยู่ก็หันหลังให้
ภาพหลวงปู่ก็เปลี่ยนไป เร็วมาก เปลี่ยนเป็นสถานที่ๆ เค้าไม่รู้จัก
เย็นมาก เหมือนเป็นถ้ำ ...ที่ใหญ่และสะอาด
มีทางเดินไปข้างหน้า ข้างทางจัดวางด้วยเพชรนิลจินดา
ระรานตาไปหมด แต่แปลก จิตบอกว่า เป็นของทิพย์ทั้งนั้น
เป็นของที่มีคนเค้าเอามาถวายบูชา
เราก็เดินไป เรื่อยๆ ไม่นานนัก
ก็พบ โถงใหญ่ ใหญ่โตมาก กว้าง เหมือนโดม
แต่เป็นโดมที่มีเพดานเป็นผนังถ้ำ มีพระองค์ใหญ่ ตั้งอยู่กึ่งกลางห้องโถง


พระแก้วสีแดง
เราอุทานในใจ ...สวยงามมาก
องค์ท่านเป็นพระทรงเครื่องจักรพรรดิ์
วรรณะสมบูรณ์ไม่อ้วนมาก ไม่ผอมนะ อวบๆ นิดๆ
...เนื้อผิวองค์พระเป็นสีแดงกล่ำ
แต่มองดู เหมือนใส เหมือนทึบ อธิบายยาก...
ทำไมองค์พระช่างใหญ่โตมโหฬารเช่น นี้..(อุทานในใจ)
ใหญ่กว่าพระแก้วแดง ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำใหญ่
ที่เราสวดมนต์ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าขนาดองค์พระ ต่างกันลิบลับ ...


ด้านซ้าย-ขวาของพระแก้วแดงองค์ใหญ่
มีแท่นหินสีขาวสวยงามมากๆ ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง
บนแท่นมีคนนั่งอยู่...ไม่ใช่คนแน่ๆ คนอะไร
จะมีรัศมีกระจายออกมาจากกาย(เหมือนเทวดาเลย)
คนทางด้านซ้ายมือมีรัศมีสีทอง
ส่วนคนด้านขวามือมีรัศมีสีแดงกระจายออกมาจากกาย...
ในใจไม่ได้รู้สึกกลัวแต่ อย่างใด รู้สึกสบายมากๆ
เราเดินเข้าไป ด้านหน้าขององค์พระแก้วแดง
เหมือนคนทั้งสองเค้าไม่สนใจเราเลย
ทั้งสองมองมาที่เราแล้วก็ยิ้มให้ จากนั้นเค้าก็นั่งทำสมาธิของเค้าต่อไป ....


เมื่อมายืนต่อหน้าองค์พระแก้วแดงแล้ว
ตัวเราเล็กมากๆ ถ้าจะเปรียบก็เหมือน เราเป็นตุ๊กตาช้างม้า
(ตุ๊กตาแก้บนที่เค้าถวายวางไว้หน้าพระประธานตามศาลหลักเมือง
คงนึกภาพออกนะครับ)
ขณะที่องค์พระแก้วแดงมีขนาดเท่าพระประธานหน้าตัก 60 นิ้ว
ยังไงยังงั้น ใหญ่มากจริงๆ นี่แค่เปรียบเทียบนะ
จริงๆ แล้ว องค์พระแก้วแดงใหญ่โตมาก ไม่รู้จะบรรยายยังไง
ในสภาวะทิพย์กับในโลกความเป็นจริง มันต่างกันนะ ...


เราก้มลงกราบพระแก้วแดงองค์ใหญ่
จากนั้น ก็ก้มกราบไปที่คนทั้งสองฝั่งที่นั่งบนแท่น
เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า ทั้งสองไม่ใช่คนธรรมดา
...เมื่อก้มกราบลงไปนั้น เหมือนหลวงปู่ทำให้เห็นเป็นภาพ ท็อปวิวเลย
เหมือนเรามองลงมาจากบนผนังเพดานถ้ำ
มองเห็นเป็นพญานาค 2 ท่านขดอยู่บนแท่นทั้งสองนั้น...


" องค์ด้านซ้ายเป็นพญานาคสีทอง องค์ด้านขวาเป็นพญานาคสีแดง "

สิ้นสงสัยทันที ที่เราเห็นคงเป็นพญานาค
ที่ดูแลองค์พระแก้วแดงนี้เป็นแน่แท้
....ดีจังเลย ได้เห็นกราบพระแก้วแดงองค์จริง
ได้เห็นพญานาคที่ดูแลรักษาพระแก้วแดง....ทั้งสองท่าน


ได้ยินเหมือนหลวงปู่บอกมาว่า
พระแก้วแดงนี้ อยู่เมืองบาดาล พญานาคเค้าดูแลรักษาไว้ให้
อนาคตในยุคพระศรี คนในยุคนั้นจะมีร่างกายที่ใหญ่โตมาก
เหตุนี้เองพระแก้วแดงจึงมีวรรณะลักษณะใหญ่โตเกือบคับเต็มถ้ำ
พระแก้วแดงนี้ ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
เวลานั่งสมาธิ สามารถจับพระแก้วแดงเป็นพุทธนิมิต พุทธานุสติ ได้ ...

จากนั้นภาพก็เปลี่ยนเป็นหลวงปู่ยืนยิ้มอยู่ต่อหน้าเราเหมือนเดิม ...เราก็ลืมตาขึ้น
(ช่วงเวลาที่หลวงปู่พาไปเมืองบาดาลนั้น เร็วมาก ไม่นานเลย)


หลวงตาถามขึ้นว่า ...ว่าไง
ศิษย์ก็ตอบไปว่า ...
"พระแก้วแดงอยู่เมืองบาดาลครับ องค์ใหญ่มากๆ
มีพญานาคดูเฝ้ารักษาดูแลอยู่ 2 ท่าน"
หลวงตา
" ถูก ....ตามนั้นแหละ องค์จริงอยู่ที่เมืองบาดาล
รอวาระ รอยุคพระศรีอริยเมตไตรย
เมื่อถึงยุคนั้น พระแก้วแดงจะปรากฎขึ้นมาเอง
ด้วยบุญฤทธิ์ของพระศรีอริยเมตไตรย
ให้คนในยุคนั้นได้กราบไหว้บูชา
...พระแก้วแดงจึงเป็นเสมือนรูปลักษณ์ที่รวมบารมีของพระศรีฯทั้งหมดไว้
เป็นรูปที่ให้นามจับ พลังเหนือพลัง...."


เป็นอันว่า ในวันนั้นศิษย์ ผ่านการทดสอบจากหลวงตา
เพราะบารมีของหลวงปู่ดู่โดยแท้ ...

พระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระแก้วประจำองค์และมีได้ตั้งแต่ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่และจะปรากฎชัดขึ้นตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้างยุคพระศรีก็จะมีพระแก้วแดงทำจากทับทิมแดง ปัจจุบันนี้ประดิษฐานเตรียมไว้แล้ว ณ ภูมิทิพย์ ซึ่งซ้อนอยู่กับ สถานที่แห่งหนึงและพระแก้วแดงจะปรากฎออกมา เมื่อถึงยุคพระศรีพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันก็คือพระแก้วมรกต (แต่ก็เป็นองค์จำลองเพราะองค์จริงมีหน้าตัก 5 วา)ส่วนพระแก้วคู่บารมีของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆอยู่ที่พระนิพพานคู่วิมานพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
พระแก้วคู่บารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้

1. พระกกุสันธพุทธเจ้า


เมื่อสมัย เป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสังไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วขาว หน้าตักกว้าง 20 วา



2. พระโกนาคมพุทธเจ้า


เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเหลือง หน้าตักกว้าง 15


3. พระกัสสปพุทธเจ้า


เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,024 พระองค์
เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วน้ำเงิน หน้าตักกว้าง 10 วา


4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า

เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 องไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วเขียว(มรกต) หน้าตักกว้าง 5 วา


5. พระศรีอาริยเมตตรัยพุทธเจ้า

เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,029 พระองค์
เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้
พระแก้วประจำองค์ พระแก้วแดง หน้าตักกว้าง 20 วา


วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความตายไม่ใช่สิ่งที่เป็นอัปมงคล

ความตายไม่ใช่สิ่งที่เป็นอัปมงคล แต่เป็นส่วนหนึ่งของสามัญ ลักษณะของชีวิตซึ่งมนุษย์ผู้ใฝ่รู้ในธรรมพึ่งศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ความตายทำให้เราทำความดี
การเตรียมตัวก่อนตาย
1. ต้องสร้างบุญกุศล --ภาวนา  ศีล ทาน ทานมีทั้งอภัยทาน อภัยคนอื่น ให้ธรรมะเป็นทาน  การให้กำลังใจ 
2. สติ  ---สวดมนต์ สอนธรรมะ เจริญสติ  เวลาใกล้ตายร่างกายอ่อนแออย่างมาก แต่มีจิตอยู่เราสามารถติดต่อได้ทางหูการได้ยิน มีจิตดวงสุดท้ายก่อนตาย

ความตายมี 2 อย่างคือ
1.ตายอย่างศักดิ์ศรี ตายขณะมีสติ สัมปชัญญะ ขณเจริญภาวนา ขณะกำหนอการรู้ตัว ย่อมไปสู่สุคติ แน่นอน ทางสุขเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม
2.ตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี ตายขณะครำครวญ ร้องไห้ เคร้าโศก เสียใจ ขณะขุ่นเคือง โกรธแค้น ห่วงใย เสียดาย ไปสู่ทุคติ หรืออบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก หรือถ้าใครทำกรรมไม่ดีหนักมากจิตนึกถึง

จิตจุติไปอย่างสงบกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก อย่างเอะอะทำให้สติแตกได้ ให้ฟังธรรมะ สวดมนต์ เพื่อให้จิดจดอยู่ที่ธรรมะนั้น ห้ามให้ลูกหลานร้องไห้ให้ได้ยิน หรืออไม่พูดว่า พุธโธๆๆๆ  สัมอะระหัง  อื่นๆๆพบแสงแห่งธรรม เมื่อเรารู้ว่าคนที่เรารักรอวันตายด้วยความเจ็บปวดนั้นเราสามารถช่วยได้ ระหว่างนั้นทำบุญโดยนิมนต์พระมาทำบุญ  ให้เราถามถึงเรื่องบุญที่เค้าได้ทำมาเพือให้จิตเป็นกุศล  เพราะผู้ที่กำลังจะตายอาจมีความเจ็บปวด  มีจิตเศร้าหมอง อื่นๆๆ พยายามนำธรรมะเข้าสู่จิตให้ได้ให้โยกย้ายจิตโดยฟีงธรรมะ สวดมนต์ การได้ยินพุธโธ  และที่สำคัญขอให้สถานที่นั้นสงบด้วย ห้ามร้องไห้ให้ได้ยิน  พยายามอย่าให้ใส่ท่อช่วยหายในเป็นการทรมานและเจ็บปวดทำให้จิตอยู่กับความเจ็บปวดนั้นได้  ขอแพทย์ให้ผู้ป่วยนอนตายอย่างสงบ  และพยายามพากลับบ้านเพราะผู้ป่วยทุกคนขอตายที่บ้านของตนเอง ไม่ต้องกลัวจะมีวิญญาณอยู่บ้านในเมื่อเราได้ทำตามที่แนะนำแล้ว ดวงจิตดวงสุดท้ายย่อมไปเกิดในสุคติภูมิอย่างแน่นอน  ชีวิตของคนเราขอแค่อยู่สบาย ตายก็เป็นสุข

ตายอย่างมีคุณค่า

ตายก่อนตาย

ตายได้เป็นสุขขี

ตายจากสิ้นสงสัยในทุกสิ่ง

อาสวะสิ้นไปก็ตายไป

ตายไปจากกิเลสมัว ตายกันเถิด

ตายก่อนตาย

ตายแล้วสุขสุขี

พากันตายก่อนจะตายพ้นราคี

ทุกชีวีล้วนตายเวียนว่ายไป

ตายก่อนตาย

หยุดตายหยุดเวียนเกิด

ลองหันมาตายก่อนตายกันเถิดเอย..


ตาย ให้ดี ตายให้เป็น

ตายก่อนตาย สิ้นลาย สิ้นสงสัย

สิ้งกังขา สิ้น สรรพดับทุกข์สิ่ง

ไม่ไหวติงใจก็นิ่ง ทิ้งทุกข์ตรม

ร้องระงมหยุดได้ ตายก่อนตาย

ของขวัญล้ำค่าที่สุด ในชีวิตมนุษย์

ของขวัญล้ำค่าที่สุด ในชีวิตมนุษย์ ชายคนหนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของเขา เพราะนำเงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่งซึ่งมีราคาแพงในขณะที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง และเค้าก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขานำกระดาษสีทองราคาแพงนั้น มาห่อกล่องของขวัญเพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้นคริสต์มาส แต่กระนั้น...ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น และพูดว่า "นี่สำหรับพ่อค่ะ" พ่อของเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้านี้ แต่แล้วความโกรธก็ได้พุ่งขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาพบว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า เขาพูดด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า "ลูกไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นหรือว่าการจะให้ของขวัญใคร มันจะต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย"เด็กน้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา และพูดว่า "โอ...พ่อจ๋า มันไม่ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม" พ่อเริ่มสะอึก และตัวชาด้วยความเสียใจ เขาทรุดตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น เขาขอให้ลูกสาวยกโทษให้กับท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา
ต่อมาไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูกสาวของชายคนนั้นไป ส่วนเขาก็ยังเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้นไว้ข้างเตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว และเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจหรือต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็น เขาจะเปิดกล่องใบนี้ เพื่อหยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ แล้วรำลึกถึงความรักของลูกน้อยที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้เขา
ในความเป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พวกเราทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่งบรรจุด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบจากลูกๆ ครอบครัว เพื่อน และพระเจ้า ไม่มีสมบัติใดล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว
ฉันขอขอบคุณสำหรับ....
สำหรับ....สามีที่นอนกรนทั้งคืน เพราะนั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิงอื่น
สำหรับ....ลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่ เพราะนั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน
สำหรับ....ภาษีที่ต้องเสีย เพราะนั่นหมายถึงฉันมีงานทำ
สำหรับ....ข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้ เพราะนั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง
สำหรับ....เสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป เพราะนั่นหมายถึงฉันมีกิน
สำหรับ....เงาที่คอยมองดูฉันทำงาน เพราะนั่นหมายถึงกำลังได้รับแสงแดด
สำหรับ....พื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด เพราะนั่นหมายถึงถึงฉันมีบ้านสวย
สำหรับ....คำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายถึงเรามีอิสระในการแสดงความคิดเห็น
สำหรับ....ที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ เพราะนั่นหมายถึงฉันฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถ
ของขวัญอันล้ำค่าเหล่านี้ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ให้แล้ว ผลที่ได้รับมีคุณค่ามากมายมหาศาลทั้ง ๆ ที่มันเป็นของขวัญที่ไม่ต้องลงทุนสักแดงเดียว เราลองมาดูรายละเอียดของกิฟต์เซ็ตชุดนี้กันดีกว่า
ของขวัญจากการฟัง
จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มากอย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่นพูดให้น้อย ฟังให้มาก
ของขวัญจากภาษากายอย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัวหรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ, โอบไหล่, สวมกอด,หอมแก้ม ฯลฯของขวัญจากความเบิกบานแบ่งปันเสียงหัวเราะและความสนุกสนานให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุกอย่าแอบหัวเราะคนเดียว
ของขวัญจากการเขียน
กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น " ฉันรักคุณจังเลย " "ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ " จะสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย
ของขวัญจากคำชม
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม เช่น " ผมทรงนี้ดูดีจัง " " กับข้าวอร่อยมากเลยนะ " อย่าชมจนเวอร์แล้วกัน เดี๋ยวกลายเป็นคนไม่จริงใจ
ของขวัญจากความมีน้ำใจความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการ " หลับใน " การแบ่งปันให้กันจะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้นนะ
ของขวัญจากเวลาส่วนตัว
บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ
ของขวัญจากการให้กำลังใจคนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส " ใจเย็น ๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ " " ยากกว่านี้เธอยังทำได้เลย " สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้ของขวัญจากมธุรสวาจา

คำพูดดี ๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง " ขอบคุณ ""ขอโทษ" คุณอยากฟังคำพูดดี ๆ ... คนอื่นเขาก็เหมือนกันวันนี้คุณได้ให้ของขวัญแก่ใครหรือยัง??

ก่อนความตายจะพราก

ญาติธรรมทุกท่าน เคยคิดไหมว่า พ่อแม่ที่แก่ชราของเราท่านทั้งหลายนั้น หากท่านได้จากเราไปเราคงจะเสียใจเจียนตาย บ้างท่านแทบจะตายตามพ่อแม่ไปเลยก็ว่าได้  อาจเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือด หรือไม่ก็เป็นความใกล้ชิดที่ได้อยู่ร่วมกันมานานหลายปี ลองคิดดูว่าหากพ่อแม่มิได้จากเราไปแบบปกติสุข คือไปแบบฉับพลันทันใด แต่กับต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคร้าย ต้องเจ็บปวดสังขารทรมานธาตุขันธ์ อย่างแสนสาหัส  เชื่อแน่ว่าตัวเราท่านทั้งหลายคงจะต้องบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอต่ออายุให้พ่อแม่เป็นแน่แท้
          หากเป็นอดีต ก่อนที่จะศึกษาธรรมะปฏิบัติ ผมคงจะมีอาการดังเช่นที่กล่าวมา แต่มาวันนี้ ผมกลับไม่ต้องการที่จะยื้อยุดหรือร้องขอชีวิตพ่อแม่กับใครอีกต่อไป เพราะคิดว่าการที่เราจะฉุดรั้งใครไว้เพื่อความสุขของเรามักเป็นความเห็นแก่ตัวมากกว่า ในขณะที่คนๆนั้นอยู่ในความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด
เวลาของพ่อแม่หรือแม้กระทั้งเวลาของพวกเราทุกคนเหลือน้อยลงไปทุกวัน ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เกินกว่าที่เราจะคาดคิดได้  อุบัติเหตุชีวิตเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครคาดคิดได้ ท่านใดที่มีห้วงเวลาใกล้ชิดกับความตาย (คำว่าใกล้ชิดกับความตายนี้หมายถึง มีญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือบุคคลที่ใกล้ชิดของเรา มีอาการเจ็บป่วยใกล้ตายนั้นเอง)
ท่านทั้งหลายจงพึงรู้เถิดว่า เวลาของพวกเค้าเหล่านั้นเหลือน้อยลงทุกที   หากท่านอยากใช้วันคืนให้มีคุณค่าที่สุด จงอยู่ใกล้ๆ ท่านคอยดูแลท่าน หากท่านนั้นเป็นพ่อแม่เราจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลท่าน เหมือนที่ท่านดูแลเราเมื่อครั้งเรายังเยาว์วัย  หากแม้นเป็นไปได้ กลางวันอ่านหนังสือให้ท่านฟัง  อาบน้ำแต่งตัวให้ท่าน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคืนจงนำพ่อแม่สวดมนต์ และทำสมาธิก่อนนอน  
                แม้ว่าสิ่งที่เราทำให้กับพ่อแม่นี้จะทำให้เราเหนื่อยล้าสักเพียงใด จงพึงสังวรเถิดว่า พ่อแม่เหนื่อยยิ่งกว่าเราร้อยเท่าพันทวี ทุกสิ่งท่านเคยทำให้เราก่อนนี้ ท่านเลี้ยงดูเราด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความอดทนอย่างมาก 
          ก่อนนอนจงพูดกับพ่อแม่ว่า พ่อหลับให้สบายนะ แม่หลับให้สบายนะ ไม่ต้องนึกถึงอะไร นอกจากลมหายใจ เข้า-ออก และคุณความดีทั้งหลายที่พ่อแม่ได้สร้างได้ทำมาตลอดชีวิต อย่าไปสนใจร่างกายนี้ เพราะมันถึงเวลาที่ต้องเสื่อมโทรมแล้ว ทุกคนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย แต่ถ้า พ่อแม่ทำใจให้มีความสุข พ่อแม่จะได้ไปสวรรค์นะ ไม่ต้องห่วงใครทั้งสิ้น  พ่อแม่แค่ไปรออยู่ที่นั้น แล้วเราจะได้พบกันอีก หรือถ้าพ่อแม่ทำใจให้ว่างเปล่า ก็อาจจะไม่ต้องเกิดอีกเลยก็ได้นะ
                ผมไม่คิดว่าการพูดถึงความตายจะเป็นเรื่องอัปมงคลแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม เราควรให้ผู้ที่กำลังจะพบกับมัน ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมความพร้อมและรับรู้ว่า  ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่าที่คิด มันเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานะเท่านั้น หากท่านเห็นความสงบสุขจากใบหน้าที่หลับของพ่อแม่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดสั้นๆ ที่ได้ใจความของเรา สบายใจได้ว่าแม้พ่อแม่เราจะตายลงเวลานี้ ท่านก็จะได้ไปดี ไปอยู่สุขติอย่างแน่นอน  
          การเตรียมตัวตายก่อนตายนี้ หลวงตาได้พูดเสมอ ท่านจะพูดทุกครั้งที่มีโอกาส สอนศิษย์ว่า พวกเราอย่าประมาทนะ  เวลาเหลือน้อยแล้ว ให้พากันทำให้พากันปฏิบัติ สวดจักรพรรดิ สัพเพฯ นั่งสมาธิ   เตรียมตัวตายก่อนที่จะตาย ให้พากันซ้อมเอาไว้
ที่หลวงตาสอนให้หมั่นปฏิบัติ หมั่นฝึกฝน ก็เพราะผลของการปฏิบัติสามารถนำมาใช้ก่อนตายนั้นเอง  สำหรับนักปฏิบัติในขณะจิตที่ใกล้ตายนั้น เวลาใกล้ตายจะ มีสติ รู้เท่าทัน ขณะจิตก่อนตายนั้นเร็วมาก และจิตเราจะอ่อนแอที่สุด  ตอนนี้แหละบุพกรรมที่เราเคยทำไว้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จะถาโถมเข้ามาในจิต  เราเรียกจิตก่อนที่จะตายว่า การนำพาไปสู้การจุติ หรือปฏิสนธิ (ตายในเกิด-เกิดในตาย)  กรรมนำพาไปจุติยังภพภูมิต่างๆ ที่เรียกว่าไปตามกรรม นั้นแหละ  หากแต่จิตของผู้ที่ฝึกฝนมาดี จะอยู่ใจบุญ คิดถึงบุญ  จิตจะมีกำลัง บุพกรรมไม่สามารถแทรกเข้ามาในจิตได้ จึงมีสุขติภูมิเป็นที่จุติ
ท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติแล้วใช่ไหม การปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้สำหรับคนใกล้ตายเท่านั้นนะ แต่มีไว้สำหรับทุกๆคน สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ เพียงแค่ เราคิดเป็น ก็สามารถปฏิบัติได้ 
คิดเป็น หมายความว่าอย่างไร?  คิดเป็นก็คือ เราคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงอย่างเดียวได้ นานๆ  นั้นเอง แต่อยากจะเพิ่มเงื่อนไข ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ไหนๆ ก็ คิดถึงเพียงสิ่งเดียวแล้ว อย่างจะให้สิ่งที่ท่านคิดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นมงคลแก่ท่าน นั้นคือรูปสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ท่านเคารพ เช่นรูปพระพุทธรูป หรือรูปพระอริยะสงฆ์ ที่เราเคารพนับถือ การที่เราคิดถึงรูปพระซ้ำๆ นั้น จะทำให้ จิตเราเกิดเป็นสมาธิ โดยไม่รู้ตัว เป็นพื้นฐานการฝึกสมาธิ  สำหรับท่านที่ยังไม่มีจริตแนวทางในการปฏิบัติ ก็ลองนำวิธีนี้ไปปฏิบัติดู เผื่อจะเป็นจริตแนวทางของตัวท่านเอง     
                เห็นไหมว่าการเริ่มต้นปฏิบัติ ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิด  สำหรับคนที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลานั้น เค้ามักจะอ้างว่า เค้าทำงานทั้งวัน กลับมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่น เหนื่อยแล้ว อาบน้ำเข้านอนเลย หมดไปแล้ววันหนึ่ง  ไม่มีเวลาปฏิบัติหรอก   นั้นเป็นเหตุผลของคนขี้เกียจ ตราบใดที่เค้ามีเวลาหายใจ เข้า-ออก ตราบใดที่เค้ามีเวลาคิดถึงเรื่องนั้น เรื่องนี้ ในแต่ละวัน ตราบนั้นเค้าสามารถปฏิบัติได้ เหตุผลที่เค้าอ้างขึ้นมานั้นไม่สามารถฟังขึ้น ผมจึงพูดว่าเป็นเหตุผลของคนขี้เกียจ  
                เรามาดูกัน ระหว่างวันทำงาน เมื่อเราทำงานไปด้วย และหากเรากำหนดภาพพระไปด้วยในใจ เสมือนหนึ่งว่าเรากำลังปฏิบัติสมาธิจิต คือการไม่ส่งจิตไปที่ใดๆ จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน รวมจิตอยู่ที่เดียวนั้นคือภาพพระ ทำบ่อยๆ จะเกิดเป็นสมาธิ จิตจะมีกำลัง   เห็นไหมว่าเราสามารถทำได้  ย้ำว่า  เราทำได้จริงๆ  หากเรากำหนดจิตถึงพระไม่ได้ จิตส่ายวิ่งไปโน้นไปนี้ คิดถึงภาพนั้นภาพนี้ ให้ เราลองสลับการปฏิบัติด้วยวิธีดูลมหายใจ เข้า-ออก ก็ดีไม่น้อย กำหนดรู้ในจิตว่า หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย  หายใจออกไม่เข้าก็ตาย  พิจารณาไว้ เป็นการซ้อมตายก่อนที่จะตายจริง 

เนื่องด้วย อดีต ปัจจุบัน อนาคต

                มิติของความเกี่ยวเนื่องระหว่าง อดีต  ปัจจุบัน  อนาคตนั้น  เป็นหลักที่สามารถอธิบายได้ตามหลักตรรกะทั่วไป   กล่าวคือ   ผลของอดีตทั้งมวลทั้งที่เรารับรู้ด้วยอายตนะ (สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๖) และที่ไม่ได้รู้ด้วยอายตนะ (ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง ๖)  นั้นมีปัจจุบันเป็นผลรวมทั้งหมด (อันว่าปัจจุบันนั้นก็ยังหมายรวมถึงสิ่งที่เรารับรู้ได้หรือไม่ได้ด้วย)  และผลกระทำของปัจจุบันทั้งมวลก็จะแสดงอนาคตออกมาทั้ง ๆ ที่อาจจะมีความแปรผันของสภาวะที่เราไม่ได้รับรู้ (ซึ่งสภาวะเป็นเรื่องตามสภาพของความจริงที่เกิดขึ้นอยู่แล้วนั่นเอง)  จนทำให้เราคาดการณ์ไม่ถึงและบ่งบอกหรืออุปทานคิดสรุปเอาเองว่าอนาคตคือความไม่แน่นอน

                ที่เกริ่นนำข้างต้นคือมิติแห่งความเกี่ยวเนื่องของ อดีต  ปัจจุบัน  อนาคตโดยทั่วไป   แต่ที่จะกล่าวขยายความ ณ ที่นี้ คือ มุมหนึ่งของอีกมากมายแห่งมุมของ อดีต  ปัจจุบัน  อนาคต(ซึ่งอันที่จริงมุมเหล่านี้ก็หาได้มีเป็นตัวเป็นตนจริงไม่) เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขอดีตที่ตนเองไม่พึงพอใจหรือปฏิบัติผิดพลาดไป   เป็นความแน่นอนแล้วว่าเราไม่เสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องราวของในอดีตได้   แต่นั่นหาใช่ความหมายโดยรวมทั้งหมดไม่    และจะบอกว่าถูกต้องทั้งหมดยังไม่สามารถพูดได้   แต่ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตได้จริง   แต่เพราะความเกี่ยวเนื่องของ อดีต  ปัจจุบัน  อนาคตนั่นเอง คือคำตอบ   อดีตคือเหตุให้เกิดผลในปัจจุบัน   ปัจจุบันคือเหตุให้เกิดผลแห่งอนาคต   เนื่องเพราะสิ่งเหล่านี้มีความธรรมดาที่ต้องเกี่ยวเนื่องกันอยู่นั่นเอง   การที่เราอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่มีความหมายลึกซึ่งและสำคัญ   เพราะการที่เราอยู่กับปัจจุบันได้ดี คือ การที่เราได้อยู่กับอดีตและอนาคตได้ดีเช่นกัน   และเช่นเดียวกัน   การที่ปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงไปก็สามารถบังเกิดการปรับปรุงแห่งอดีตและอนาคตได้   แต่เพราะชีวิตวิ่งวนเป็นวัฏสงสารตามอกุศลกรรม ๘ อย่างไม่รู้จบ   จึงทำให้ดูเหมือนว่า อดีต ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้  ปัจจุบันก็ต้องทำไปตามอกุศลกรรม ๘ ที่บดบังจิตใจ  และอนาคตเป็นเรื่องของโชคและดวง   ดังบทกลอนที่กล่าวไว้ว่า
 พระสมุทรสุดลึกล้น   คณนา 
สายดิ่งทิ้งทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา  กำหนด 
จิตมนุษย์นี้ไซร้  ยากแท้ หยั่งถึง
              
   อดีตเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้แต่สามารถปรับปรุงได้”  




ดังนั้น จึงขอแบ่งคนไว้   เป็น ๕ จำพวก
๑. คือให้การกระทำของตนเป็นตามตัณหา  มิได้ใช้สติยั้งคิดตริตรองในอดีตที่ผิดพลาด   ยังคงปล่อยให้ปัจจุบันดำเนินไปตามกรรมของอดีตที่ผิดพลาดนั้นด้วยฤทธิ์ของอกุศลกรรม ๘ ที่บดบัง  
๒. คือพวกที่รู้ความผิดพลาดของอดีตแต่ไม่ยอมพยายามปรับปรุงแก้ไขตนเอง  ก็ยังคงปล่อยให้ปัจจุบันดำเนินไปตามกรรมของอดีตที่ผิดพลาดนั้นด้วยฤทธิ์ของอกุศลกรรม ๘ ที่บดบัง  
๓. คือพวกที่รู้ความผิดพลาดของอดีตแต่ไม่เข้าใจแหตุแห่งการเป็นไปของอดีต  จึงทำให้ปัจจุบันดำเนินไปตามกรรมของอดีตที่ผิดพลาดนั้นด้วยฤทธิ์ของอกุศลกรรม ๘ ที่บดบัง  
๔. คือพวกที่รู้และเข้าใจความผิดพลาดของอดีตดีแล้ว  แต่กลับไม่ทำการปรับปรุงปัจจุบันยังคงปล่อยให้ปัจจุบันดำเนินไปตามกรรมของอดีตที่ผิดพลาดนั้นด้วยฤทธิ์ของอกุศลกรรม  
๕. คือพวกที่รู้เข้าใจอดีตและปฏิบัติปัจจุบันเพื่อให้ได้ประสบแต่ทางที่ดี
ท่านผู้อ่านทุกท่านคงต้องผ่านเรื่องราวของอดีตมากันแล้ว บ้างก็เป็นเรื่องที่ดี บ้างก็เป็นเรื่องที่เลวร้าย ซึ่งอยากจะกล่าวว่าสิ่งที่ทุกท่านได้ประสบพบเจอมาแล้วนั้นมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไขเรื่องราวต่างๆได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงและถวินหาอดีต มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งได้เคยสอนไว้ว่า เราสามารถนำเอาเรื่องราวในอดีตมาพิจารณาให้เกิดประโยชน์ได้ อดีตเปรียบเสมือนครู ครูก็เปรียบเสมือนเรือจ้าง พิจารณาตามนะ สมมติว่าเราต้องเดินทางไปต่างเมืองและต้องข้ามลำน้ำใหญ่เราต้องนั่งเรือใช่ไหม  เวลาที่เรานั่งเรือฟากนะ เมื่อเรือถึงข้ามฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแล้วเดินทางต่อไปไหม ไม่เห็นมีใครแบกเรือแล้วเดินทางต่อไปซักที ก็เหมือนกับอดีตนี่แหละ เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป ใครที่ยังวนเวียนครุ่นคิดถึงแต่เรื่องอดีต ก็เหมือนกับแบกเรือแล้วเดินทางต่อไปด้วย  มันหนักรู้ไหม ถ้ารู้แล้วก็อย่าพากันทำ อย่าพากันแบกเรือ   ผู้อ่านที่ฉลาดเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ก็จะได้คิดได้วางสิ่งต่างๆ ที่เคยยึดที่เคยเอาจิตไปย้ำเอาจิตไปจับเรื่องในอดีต