วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ก่อนความตายจะพราก

ญาติธรรมทุกท่าน เคยคิดไหมว่า พ่อแม่ที่แก่ชราของเราท่านทั้งหลายนั้น หากท่านได้จากเราไปเราคงจะเสียใจเจียนตาย บ้างท่านแทบจะตายตามพ่อแม่ไปเลยก็ว่าได้  อาจเป็นเพราะความผูกพันทางสายเลือด หรือไม่ก็เป็นความใกล้ชิดที่ได้อยู่ร่วมกันมานานหลายปี ลองคิดดูว่าหากพ่อแม่มิได้จากเราไปแบบปกติสุข คือไปแบบฉับพลันทันใด แต่กับต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคร้าย ต้องเจ็บปวดสังขารทรมานธาตุขันธ์ อย่างแสนสาหัส  เชื่อแน่ว่าตัวเราท่านทั้งหลายคงจะต้องบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอต่ออายุให้พ่อแม่เป็นแน่แท้
          หากเป็นอดีต ก่อนที่จะศึกษาธรรมะปฏิบัติ ผมคงจะมีอาการดังเช่นที่กล่าวมา แต่มาวันนี้ ผมกลับไม่ต้องการที่จะยื้อยุดหรือร้องขอชีวิตพ่อแม่กับใครอีกต่อไป เพราะคิดว่าการที่เราจะฉุดรั้งใครไว้เพื่อความสุขของเรามักเป็นความเห็นแก่ตัวมากกว่า ในขณะที่คนๆนั้นอยู่ในความทุกข์ทรมานมาโดยตลอด
เวลาของพ่อแม่หรือแม้กระทั้งเวลาของพวกเราทุกคนเหลือน้อยลงไปทุกวัน ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เกินกว่าที่เราจะคาดคิดได้  อุบัติเหตุชีวิตเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครคาดคิดได้ ท่านใดที่มีห้วงเวลาใกล้ชิดกับความตาย (คำว่าใกล้ชิดกับความตายนี้หมายถึง มีญาติพี่น้อง พ่อแม่ หรือบุคคลที่ใกล้ชิดของเรา มีอาการเจ็บป่วยใกล้ตายนั้นเอง)
ท่านทั้งหลายจงพึงรู้เถิดว่า เวลาของพวกเค้าเหล่านั้นเหลือน้อยลงทุกที   หากท่านอยากใช้วันคืนให้มีคุณค่าที่สุด จงอยู่ใกล้ๆ ท่านคอยดูแลท่าน หากท่านนั้นเป็นพ่อแม่เราจงใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลท่าน เหมือนที่ท่านดูแลเราเมื่อครั้งเรายังเยาว์วัย  หากแม้นเป็นไปได้ กลางวันอ่านหนังสือให้ท่านฟัง  อาบน้ำแต่งตัวให้ท่าน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคืนจงนำพ่อแม่สวดมนต์ และทำสมาธิก่อนนอน  
                แม้ว่าสิ่งที่เราทำให้กับพ่อแม่นี้จะทำให้เราเหนื่อยล้าสักเพียงใด จงพึงสังวรเถิดว่า พ่อแม่เหนื่อยยิ่งกว่าเราร้อยเท่าพันทวี ทุกสิ่งท่านเคยทำให้เราก่อนนี้ ท่านเลี้ยงดูเราด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความอดทนอย่างมาก 
          ก่อนนอนจงพูดกับพ่อแม่ว่า พ่อหลับให้สบายนะ แม่หลับให้สบายนะ ไม่ต้องนึกถึงอะไร นอกจากลมหายใจ เข้า-ออก และคุณความดีทั้งหลายที่พ่อแม่ได้สร้างได้ทำมาตลอดชีวิต อย่าไปสนใจร่างกายนี้ เพราะมันถึงเวลาที่ต้องเสื่อมโทรมแล้ว ทุกคนก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย แต่ถ้า พ่อแม่ทำใจให้มีความสุข พ่อแม่จะได้ไปสวรรค์นะ ไม่ต้องห่วงใครทั้งสิ้น  พ่อแม่แค่ไปรออยู่ที่นั้น แล้วเราจะได้พบกันอีก หรือถ้าพ่อแม่ทำใจให้ว่างเปล่า ก็อาจจะไม่ต้องเกิดอีกเลยก็ได้นะ
                ผมไม่คิดว่าการพูดถึงความตายจะเป็นเรื่องอัปมงคลแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม เราควรให้ผู้ที่กำลังจะพบกับมัน ได้เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมความพร้อมและรับรู้ว่า  ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่าที่คิด มันเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานะเท่านั้น หากท่านเห็นความสงบสุขจากใบหน้าที่หลับของพ่อแม่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดสั้นๆ ที่ได้ใจความของเรา สบายใจได้ว่าแม้พ่อแม่เราจะตายลงเวลานี้ ท่านก็จะได้ไปดี ไปอยู่สุขติอย่างแน่นอน  
          การเตรียมตัวตายก่อนตายนี้ หลวงตาได้พูดเสมอ ท่านจะพูดทุกครั้งที่มีโอกาส สอนศิษย์ว่า พวกเราอย่าประมาทนะ  เวลาเหลือน้อยแล้ว ให้พากันทำให้พากันปฏิบัติ สวดจักรพรรดิ สัพเพฯ นั่งสมาธิ   เตรียมตัวตายก่อนที่จะตาย ให้พากันซ้อมเอาไว้
ที่หลวงตาสอนให้หมั่นปฏิบัติ หมั่นฝึกฝน ก็เพราะผลของการปฏิบัติสามารถนำมาใช้ก่อนตายนั้นเอง  สำหรับนักปฏิบัติในขณะจิตที่ใกล้ตายนั้น เวลาใกล้ตายจะ มีสติ รู้เท่าทัน ขณะจิตก่อนตายนั้นเร็วมาก และจิตเราจะอ่อนแอที่สุด  ตอนนี้แหละบุพกรรมที่เราเคยทำไว้ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จะถาโถมเข้ามาในจิต  เราเรียกจิตก่อนที่จะตายว่า การนำพาไปสู้การจุติ หรือปฏิสนธิ (ตายในเกิด-เกิดในตาย)  กรรมนำพาไปจุติยังภพภูมิต่างๆ ที่เรียกว่าไปตามกรรม นั้นแหละ  หากแต่จิตของผู้ที่ฝึกฝนมาดี จะอยู่ใจบุญ คิดถึงบุญ  จิตจะมีกำลัง บุพกรรมไม่สามารถแทรกเข้ามาในจิตได้ จึงมีสุขติภูมิเป็นที่จุติ
ท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติแล้วใช่ไหม การปฏิบัติ ไม่ได้มีไว้สำหรับคนใกล้ตายเท่านั้นนะ แต่มีไว้สำหรับทุกๆคน สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ เพียงแค่ เราคิดเป็น ก็สามารถปฏิบัติได้ 
คิดเป็น หมายความว่าอย่างไร?  คิดเป็นก็คือ เราคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงอย่างเดียวได้ นานๆ  นั้นเอง แต่อยากจะเพิ่มเงื่อนไข ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ไหนๆ ก็ คิดถึงเพียงสิ่งเดียวแล้ว อย่างจะให้สิ่งที่ท่านคิดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นมงคลแก่ท่าน นั้นคือรูปสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ท่านเคารพ เช่นรูปพระพุทธรูป หรือรูปพระอริยะสงฆ์ ที่เราเคารพนับถือ การที่เราคิดถึงรูปพระซ้ำๆ นั้น จะทำให้ จิตเราเกิดเป็นสมาธิ โดยไม่รู้ตัว เป็นพื้นฐานการฝึกสมาธิ  สำหรับท่านที่ยังไม่มีจริตแนวทางในการปฏิบัติ ก็ลองนำวิธีนี้ไปปฏิบัติดู เผื่อจะเป็นจริตแนวทางของตัวท่านเอง     
                เห็นไหมว่าการเริ่มต้นปฏิบัติ ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิด  สำหรับคนที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลานั้น เค้ามักจะอ้างว่า เค้าทำงานทั้งวัน กลับมาถึงบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่น เหนื่อยแล้ว อาบน้ำเข้านอนเลย หมดไปแล้ววันหนึ่ง  ไม่มีเวลาปฏิบัติหรอก   นั้นเป็นเหตุผลของคนขี้เกียจ ตราบใดที่เค้ามีเวลาหายใจ เข้า-ออก ตราบใดที่เค้ามีเวลาคิดถึงเรื่องนั้น เรื่องนี้ ในแต่ละวัน ตราบนั้นเค้าสามารถปฏิบัติได้ เหตุผลที่เค้าอ้างขึ้นมานั้นไม่สามารถฟังขึ้น ผมจึงพูดว่าเป็นเหตุผลของคนขี้เกียจ  
                เรามาดูกัน ระหว่างวันทำงาน เมื่อเราทำงานไปด้วย และหากเรากำหนดภาพพระไปด้วยในใจ เสมือนหนึ่งว่าเรากำลังปฏิบัติสมาธิจิต คือการไม่ส่งจิตไปที่ใดๆ จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน รวมจิตอยู่ที่เดียวนั้นคือภาพพระ ทำบ่อยๆ จะเกิดเป็นสมาธิ จิตจะมีกำลัง   เห็นไหมว่าเราสามารถทำได้  ย้ำว่า  เราทำได้จริงๆ  หากเรากำหนดจิตถึงพระไม่ได้ จิตส่ายวิ่งไปโน้นไปนี้ คิดถึงภาพนั้นภาพนี้ ให้ เราลองสลับการปฏิบัติด้วยวิธีดูลมหายใจ เข้า-ออก ก็ดีไม่น้อย กำหนดรู้ในจิตว่า หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย  หายใจออกไม่เข้าก็ตาย  พิจารณาไว้ เป็นการซ้อมตายก่อนที่จะตายจริง